คลื่นกล
1.ชนิดของคลื่น
1.1 การจำแนกคลื่นตามลักษณะของตัวกลางแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1) คลื่นกล (mechanical wave) คือ คลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่สามารถถ่ายทอดและโมเมนตัมโดย
อาศัยความยืดหยุ่นของตัวกลาง เช่น คลื่นเสียง คลื่นน้ำ คลื่นในเส้นเชือก
2) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic
wave) คือ คลื่นที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่เช่น คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ
อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา
1.2 การจำแนกคลื่นตามลักษณะการกำเนิดคลื่น แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1) คลื่นดล (pulse wave) คือ คลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดสั่นเพียงครั้งเดียว ทำให้เกิดคลื่นเพียงหนึ่งลูก
อาจมี
ลักษณะกระจายออกจากแหล่งกำเนิดที่ทำให้เกิดคลื่น เช่น การโยนหินลงไปในน้ำ
2) คลื่นต่อเนื่อง (continuous
wave) คือ คลื่นที่เกิดจากการสั่นของแหล่งกำเนิดหลายครั้งติดต่อกัน
ทำให้เกิด คลื่นหลายลูกติดต่อกัน โดยความถี่ของคลื่นที่เกิดขึ้นเท่ากับความถี่ของการรบกวนของแหล่งกำเนิดคลื่น เช่น คลื่นน้ำที่เกิดจากการใช้มอเตอร์
1.3 การจำแนกคลื่นตามลักษณะการเคลื่อนที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) คลื่นตามยาว (longitudinal wave) คือ
คลื่นที่อนุภาคของตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านมีการเคลื่อนที่ไปกลับ ใน ทิศทางเดียวกันกับทิศทางที่คลื่นเคลื่อนที่ เช่น คลื่นเสียง คลื่นที่เกิดจากการอัดและขยายของสปริง
รูปที่ 1 แสดงทิศการเคลื่อนที่ของอนุภาคและการเคลื่อนที่ของคลื่น

รูปที่ 2 แสดงการเคลื่อนที่ของอนุภาคของตัวกลางของเคลื่อนตามขวาง
2) คลื่นตามขวาง (transverse
wave) คือ คลื่นที่ทำให้อนุภาคของตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านมีการเคลื่อนที่
ไป กลับในทิศทางตั้งฉากกับทิศทางที่คลื่นเคลื่อนที่ เช่น คลื่นในเส้นเชือก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

รูปที่ 3 แสดงทิศการเคลื่อนที่ของอนุภาคและการเคลื่อนที่ของคลื่น

รูปที่ 4 แสดงทิศการเคลื่อนที่ของอนุภาคตัวกลางของคลื่นตามยาว
2. ส่วนประกอบต่างๆ ของคลื่น
รูปที่
5 แสดงส่วนประกอบของคลื่น
1. สันคลื่น (Crest) คือ
ตำแหน่งที่การกระจัดบวกมากที่สุดเหนือระดับปกติหรือตำแหน่งสูงสุดของคลื่น
ค่าของแอมพิจูดจะบอกค่าของพลังงาน คือ
แอมพิจูดมากพลังงานของคลื่นมาก แอมพิจูดน้อยพลังงานของ คลื่นจะน้อย
2. ท้องคลื่น (Trough) คือ
ตำแหน่งที่มีการกระจัดลบมากที่สุดต่ำกว่าระดับปกติหรือตำแหน่งต่ำสุดของคลื่น
3. แอมพิจูด (Amplitude) คือ การกระจัดสูงสุดของคลื่นจากระดับปกติหรือระดับสูงสุดของคลื่น
หรือความสูง ของท้องคลื่นจากระดับปกติ
4. ความยาวคลื่น (wavelength) คือความยาวของคลื่น 1 ลูกคลื่น
หรือเป็นระยะห่างจากสันคลื่นถึงสันคลื่นติด กัน
5. คาบเวลา (T-Periodic time) คือ
เวลาที่จุดใดๆบนตัวกลางสันครบ 1 รอบ
หรือเป็นเวลาที่เกิดคลื่น 1 ลูก หรือ เวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ไปไกล 1 ลูกคลื่น คาบมีหน่วยเป็น
วินาที (s)
6. ความถี่ (f-Frequency) คือ จำนวนลูกคลื่นที่เกิดขึ้นใน 1 หน่วยเวลา
หรือจำนวนลูกคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านจุด คงที่ในเวลา 1 หน่วย
หรือจำนวนรอบที่อนุภาคตัวกลางเคลื่อนที่ได้ใน 1 หน่วยเวลา
และความถี่ของคลื่นจะ มีค่าเท่ากับความถี่ของการสั่นของแหล่งกำเนิด
หมายความว่าแหล่งกำเนิด 1 รอบจะเกิดคลื่น 1 ลูกคลื่น
ความถี่มีความเป็น ลูกคลื่นต่อวินาที, รอบต่อวินาที
หรือ เฮิร์ตซ์ Hertz (Hz)
7. เฟส คือ การบอกตำแหน่งบนหน้าคลื่นในรูปของมุมหน่วย องศาหรือเรเดียนสูตรใช้คํานวณเกี่ยวกับเฟส ของคลื่น ได้แก่
8. อัตราเร็วคลื่น
(wave speed , v ) คือระยะทางที่คลื่นเคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา เราสามารถคํานวณหา อัตราเร็วคลื่นได้จาก
3. สมบัติของคลื่น มีดังนี้
1) การสะท้อนของคลื่น เกิดขึ้นเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ถึงปลายสุดของเชือก หรือสปริงที่ตรึงไว้
คลื่นจะสะท้อนกลับมา แอมพลิจูดของคลื่นที่สะเท้อนกลับ
มีทิศตรงข้ามกับแอมพลิจูดของคลื่นเดิม (เฟสตรงข้ามกับคลื่นเดิม)

รูปที่
6 การสะท้อนของคลื่นวงกลม

รูปที่ 7 การสะท้อนของหน้าคลื่นที่เป็นเส้นตรง
1.สมบัติการสะท้อนของคลื่น มีดังนี้
1) อัตราเร็วของคลื่นสะท้อนมีค่าเท่ากับอัตราเร็วของคลื่นตกกระทบเสมอ
2) ความถี่ของคลื่นสะท้อนมีค่าเท่ากับความถี่ของคลื่นตกกระทบ
3) ความยาวคลื่นของคลื่นสะท้อนเท่ากับความยาวคลื่นของคลื่นตกกระทบ
4) ถ้าการสะท้อนไม่สูญเสียพลังงาน
แอมพลิจูดของคลื่นสะท้อนมีค่าเท่ากับแอมพลิจูดของคลื่นตกกระทบ
2. กฎการสะท้อน
1) มุมตกกระทบ = มุมสะท้อน
2) รังสีตกกระทบ เส้นปกติ
และรังสีสะท้อนต้องอยู่บนระนาบเดียวกัน

รูปที่ 8 การสะท้อนของคลื่นต่อเนื่องเส้นตรงจากแผ่นกั้นผิวโค้งเว้า

รูปที่
9 การสะท้อนของคลื่นต่อเนื่องวงกลมจากแผ่นกั้นผิวโค้งเว้า
ข้อสังเกต :
1.การสะท้อนของคลื่นที่ปลายสุดตรึงแน่น
จะทำให้เกิดคลื่นสะท้อนที่มีเฟสตรงข้ามกับคลื่นตกกระทบ
2. การสะท้อนของคลื่นที่ปลายสุด
เป็นปลายอิสระ จะทำให้เกิดคลื่นสะท้อนที่มีเฟสเหมือนกับคลื่นตกกระทบ
2) การหักเหของคลื่น คือ
การเปลี่ยนแปลงอัตราเร็วและความยาวคลื่นเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่านจากตัวกลางหนึ่ง
ไปยัง อีกตัวกลางหนึ่ง
1. กฎการหักเห
มีหลักว่า “อัตราส่วนของค่า sine ของมุมในตัวกลางที่
1 ต่อค่า sine ของมุมในตัวกลางที่ 2
จะมี ค่าคงที่เสมอ เรียกอัตราส่วนนี้ว่า ดรรชนีหักเหของตัวกลางที่ 2
เทียบกับตัวกลางที่ 1’’

รูปที่
10 หน้าคลื่นตกกระทบขนานกับรอยต่อ

รูปที่
11 หน้าคลื่นตกกระทบไม่ตั้งฉากกับรอยต่อ
ข้อสังเกต:
1) คลื่นในน้ำาลึก
อัตราเร็วคลื่น (v) จะมาก ความยาวคลื่น (𝜆) จะยาว มุม θ จะใหญ่
2) คลื่นในน้ำาตื้น
อัตราเร็วคลื่น (v) จะน้อย ความยาวคลื่น (𝜆) จะสั้น มุม θ จะเล็ก

รูปที่ 12 การแทรกสอดของคลื่นน้ำต่อเนื่อง
2 คลื่น
- บัพและปฏิบัติบัพ
บัพ (node:N
) หมายถึง จุดที่คลื่นมาพบกันแล้วแทรกสอดกัน หักล้างหมดตลอดเวลา
ปฏิบัพ(antinode: A) หมายถึง
จุดที่คลื่นมาพบกันแล้วแทรกสอดแบบเสริมกันตลอดเวลา

รูปที่ 13 การรวมกันของคลื่นแบบหักล้างและเเบบเสริม

4) การเลี้ยวเบนของคลื่น คือ
ปรากฏการณ์ที่คลื่นสามารถแผ่จากขอบของสิ่งกีดขวางไปทางด้านหลังของสิ่งกีดขวาง

รูปที่
14 การเลี้ยวเบนของคลื่นจากช่องเปิดที่แคบมากๆ
สรุป
คลื่นส่งพลังงานจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
(แม้ว่าแต่ละส่วนของคลื่นเพียงแต่สั่นกลับไปกลับมา) ใน คลื่นตามขวาง (เช่น คลื่นน้ำและคลื่นแสง)
การสั่นตั้งฉากกับทิศทางของคลื่น ในคลื่นตามยาว (เช่น คลื่นเสียง) การสั่นไปในทิศทางเดียวกับคลื่น
- ความยาวคลื่นยิ่งสั้น
ความถี่จะยิ่งสูงมากสำหรับคลื่นทุกชนิด
อัตราเร็ว = ความถี่ X ความยาวของคลื่น
- คลื่นสามารถสะท้อนและหักเหได้
คลื่นสามารถเลี้ยวเบนผ่านช่องเปิดแคบได้
ความรู้เพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น