4
เสียง
2.1
การเกิดเสียงและการเคลื่อนที่ของเสียง
- เสียงเป็นคลื่นกล เพราะมีสมบัติการสะท้อน การหักเห
การแทรกสอด และการเลี้ยงเบน
- เสียงเป็นคลื่นกลตามยาว
เพราะต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่
ตัวกลางสั่นขนานกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
- โมเลกุลของอากาศในบริเวณที่เป็นส่วนอัดจะมีมากกว่าเดิม
ทำให้ความดันของอากาศบริเวณส่วนอัดมีค่าเพิ่มขึ้น
- โมเลกุลของอากาศในบริเวณที่เป็นส่วนขยายจะมีมากกว่าเดิม
ทำให้ความดันของอากาศบริเวณส่วนอัดมีค่าลดลง
2.2
ความถี่ อัตราเร็ว และความยาวคลื่น
2.2.1.
ความถี่ของเสียง ใช้บอกระดับเสียง
ความถี่สูงจะมีระดับเสียงสูงและแหลม ถ้ามีความถี่ต่ำจะมีระดับเสียงต่ำและทุ้ม
- มนุษย์ทั่วไปได้ยินเสียงในช่วงความถี่ 20
- 20000 เฮิรตซ์
- ความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์
เรียกว่า อินฟาโซนิก เช่น การสื่อสารของช้าง
- ความถี่สูงกว่า 20000 เฮริตซ์
เรียกว่า อัลตราโซนิค เช่น การหาอาหารของค้างคาว โลมา วาฬ
2.2.2. อัตราเร็วของเสียง ขึ้นอยู่กับสภาพตัวกลาง
เช่น อุณหภูมิ ความหนาแน่น ความยืดหยุ่น เป็นต้น อัตราเร็วเสียงที่เคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีอุณหภูมิสู.จะมีค่ามากกว่าตัวกลางที่มีอุณภูมิต่ำ
2.2.3. อัตราเร็วเสียงในอากาศ จะแปรผันตรงกับรากที่สองของอุณภูมิในหน่วยเคลวิน
- อุณหภูมิมาก อัตราเร็วมาก
- อุณภูมิน้อย อัตราเร็วน้อย
- ขณะอุณภูมิ + องศาเซลเซียส
อัตราเร็วเสียงจะมีค่าประมาณ 331 เมตร/วินาที
*สูตรนี้จะให้ค่าใกล้เคียงความจริง
เมื่ออุณภูมิมีค่าไม่เกิน 45
องศาเซลเซียส*
2.3
คุณสมบัติของเสียง
2.3.1.
การสะท้อน เมื่อคลื่นเสียงตกกระผิวรอยต่อระหว่างตัวกลาง
หรือตัวกลางขนิดเดียวกันแต่อุณหภูมิต่างกัน
หรือตกกระทบสิ่งกีดขวางที่มีขนาดเท่ากันกับหรือโตกว่าความยาวคลื่นเสียงนั้น
จะเกิดการสะท้อนเสียง
1. เมื่อคลื่นเสียงตกกระทบ ความถี่ ความเร็ว ความยาวคลื่น และแอมพลิจูด
จะสะท้อนออกของเดิม
2. การเคลื่อนที่จากตัวกลางหนาแน่นน้อย
ไป มาก การกระจัดที่สะท้อนมีเฟสตรงข้าม
3. การเคลื่อนที่จากตัวกลางหนาแน่นมาก
ไป น้อย การกระจัดที่สะท้อนจะมีเฟสคงเดิม
4. ถ้าเสียงที่สะท้อนกลับมาสู๋หูของเราช้ากว่าเสียงที่ตะโกนออกไปเกินกว่า
0.1 วินาที
หูของเราจะสมารถแยกเสียงตะโกนและเสียงที่สะท้อนกลับมาได้ เราเรียกว่า
การเกิดเสียงก้อง
5. จากความรู้การสะท้อนของเสียง
นำไปสร้างเครื่อวโซนาร์ ใช้หาความลึกของทะเล หาฝูงปลาในทะเล
สร้างเครื่องอัลตราซาวด์
2.3.2. การหักเห คลื่นเสียงเมื่อเดินทางผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นแตกต่างกันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางความเร็วและความยาวคลื่น
แต่ความถี่คลื่นยังคงที่
กล่าวคือเมื่อเสียงเคลื่อนที่จากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อย (อากาศ) เข้าสู่ตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า(น้ำ)
เสียงจะหักเหออกจากเส้นตั้งฉาก หลักการนี้ใช้อธิบาย การเห็นฟ้าแลบ
แต่ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง เพราะเมื่อเกิดฟ้าแลบ
แม้จะมีเสียงเกิดขึ้นแต่เราไม่ได้ยินเสียง
ทั้งนี้เพราะอากาศใกล้พื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศเบื้องบน ทำให้การเคลื่อนที่ของเสียงเคลื่อนที่ได้ในอัตราที่ต่างกัน
คือ เคลื่อนที่ในอากาศที่มี อุณหภูมิสูงได้เร็วกว่าในอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ
ดังนั้น เสียงจึงเคลื่อนที่เบนขึ้นทีละน้อยๆ จนข้ามหัวเราไป
จึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง
1. บริเวณที่มีอุณภูมิสูง
เสียงจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วมากกว่าบริเวณที่มีอุณภูมิต่ำ
2. เสียงเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีอุณภูมิสูงไปสู่บริเวณที่มีอุณภูมิต่ำ
คลื่นเสียงจะหักเหเข้าเส้นแนวฉาก
3. เสียงเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีอุณภูมิต่ำไปสู่บริเวณที่มีอุณภูมิสูกว่า
เสียงจะหักเหออกจาเส้นแนวฉาก
4. ในเวลากลางวันพื้นโลกจะมีอุณภูมิสูงกว่าอุณหภูมิที่ระดับสูงจากพื้นโลกขึ้นไปทำให้เสียงหักเหขึ้นสู่ที่สูง
ส่วนในเวลากลางคืนอุณหภูมิที่พื้นโลกจะต่ำกว่าอุณภูมิที่ระดับสูงกว่าพื้นโลกทำให้เสียงหักเหลงสู่พื้น
2.3.3. การแทรกสอด ถ้าแหล่งกำเนิดเสียง 2 แหล่ง ที่มีแอมพลิจูด
และความถี่เท่ากัน ซึ่งมีเฟสตรงกันหรือต่างกันคงตัว เคลื่อนที่มาซ้อมทับกัน
แล้วทำให้เกิดจุดปฏิบัพ (เสียงดัง) และจุดบัพ (เสียงค่อย) สลับกัน
2.3.4. การเลี้ยวเบน นอกจากการหักเหของเสียงที่เกิดขึ้น
เมื่อผ่านตัวกลางต่างชนิดกันแล้วยังมีการเลี้ยวเบนได้
การเลี้ยวเบนของเสียงมักจะเกิดพร้อมกับการสะท้อนของเสียง เสียงที่เลี้ยวเบน
จะได้ยินค่อยกว่าเดิม เพราะพลังงานของเสียงลดลง
ในชีวิตประจำวันที่เราพบได้อย่างเสมออย่างหนึ่งคือการได้ยินเสียงของผู้อื่นได้โดยไม่เห็นตัวผู้พูด
เช่น ผู้พูดอยู่คนละด้านของมุมตึก ปรากฏการณ์ดังนี้
แสดงว่าเสียงสามารถเลี้ยวเบนได้ การอธิบายปรากฏการณ์นี้สามารถจะกระทำได้โดยใช้หลักการของฮอยเกนท์อธิบายว่า ทุกๆจุดบนหน้าคลื่นสามารถทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดคลื่นอันใหม่ได้ ดังนั้นอนุภาคของอากาศที่ทำหน้าที่ส่งผ่านคลื่นเสียงตรงมุมตึกย่อมเกิดการสั่น
ทำหน้าที่เหมือนต้นกำเนิดเสียงใหม่ ส่งคลื่นเสียงไปยังผู้ฟังได้
2.4.
เสียงและการได้ยิน
2.4.1.
บีตส์ จะเกิดเมื่อเสียง 2 ชุด
ที่มีความถี่ต่างกันเล็กน้อย
จากแหล่งกำเนิดเสียงประเภทเดียวกันหรือคนละประเภทก็ได้
เคลื่อนที่มาแทรกสอดกันจะเป็นเสียงดังเสียงค่อยสลับกันเป็นจังหวะคงตัว
สมมุติให้ f1 และ f2 แทนความถี่ของเสียงจากแหล่งกำเนิดสองเสียงที่มีความถี่ต่างกันไม่เกิด 7
เฮิรตซ์ เมื่อมาซ้อมทับกันแล้วจะทำให้เกิดบีตส์
2.4.2.
ความเข้มเสียง คือ
กำลังเสียงที่แหล่งกำเนิดเสียงส่งออกไปต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ของหน้าคลื่นวงกลม
เมื่อ I แทน ความเข้มเสียง ตำแหน่งต่างๆ
มีหน่วยเป็นวัตต์ต่อตารางเมตร
P แทน กำลังเสียงของแหล่งกำเนิดเสียง
มีหน่วยเป็นวัตต์
A แทน พื้นที่ของหน้าคลื่นทรงกลม
มีหน่อยเป็นตารางเมตร
R แทน
ระยะจากแหล่งกำเนิดเสียถึงตำแหน่งที่ต้องการหาความเข้มเสียง มีหน่วยเป็น
เมตร
สิ่งที่ควรรู้
1. เสียงค่อยที่สุดที่มนุษย์สามารถได้ยินมีความเข้มเสียง 10
กำลัง -12 วัตต์ต่อตารางเมตร
2. เสียงดังที่สุดที่มนุษย์ปกติสามารถทนฟังได้
โดยไม่เป็นอันตราย มีความเข้มเสียงเป็น 1 วัตต์ต่อตาราง
2.4.3.
ระดับความเข้มเสียง คือ ปริมาณที่ใช้บอกความดังเสียง
โดยเทียวความเข้มเสียงที่ต้องการวัด กับความเข้มเสียงที่ค่อยที่สุดที่คนปกติได้ยิน
โดย
คือความเข้มของเสียง
มีหน่วยเป็นเดซิเบล
I คือความเข้มของเสียง
I0 คือความเข้มของเสียงต่ำสุดที่มนุษย์จะได้ยิน คือ 10-12 วัตต์/ตารางเมตร
2.4.4.
ปรากฎการณ์ดอปเพลอร์ และคลื่นกระแทก
ปรากฎการณ์ดอปเพลอร์ของเสียง คือ
ผู้ฟังได้ยินเสียงที่มีความถี่เปลี่ยนไปจากความถี่ของแหล่งกำเนิดเสียง
คลื่นกระแทก คือ
หน้าคลื่นที่เคลื่อนที่มาเสริมกันในลักษณะที่เป็นคลื่นวงกลมซ้อนเรียงกันไป
แหล่งกำเนิดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าความเร็วของคลื่นในตัวกลาง
a. อัตราเร็วแหล่งกำเนิด น้อยกว่า อัตราเร็วของเสียง
b. อัตราเร็วแหล่งกำเนิด เท่ากับ อัตราเร็วเสียง
c. อัตราเร็วแหล่งกำเนิด มากกว่า อัตราเร็วเสียง
2.4.5.
คุณภาพเสียงและเสียงดนตรี แหล่งกำเนิดเสียงต่างๆขณะสั่น
จะให้เสียงซึ่งมี่ความถี่มูลฐานและฮาร์มอนิกต่างๆ ออกมาพร้อมกันเสมอ
แต่จำนวนฮาร์มอนิกและความเข้มเสียงจะแตกต่างกันไป จึงจะทำให้ลักษณะของคลื่นเสียงแตกต่างกันสำหรับแต่ละแหล่งกำเนิดที่ต่างกัน
โดยจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกัน
ความรู้เพิ่มเติม
- เสียงเป็นคลื่นกล เพราะมีสมบัติการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยงเบน
- เสียงเป็นคลื่นกลตามยาว เพราะต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ตัวกลางสั่นขนานกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
- โมเลกุลของอากาศในบริเวณที่เป็นส่วนอัดจะมีมากกว่าเดิม ทำให้ความดันของอากาศบริเวณส่วนอัดมีค่าเพิ่มขึ้น
- โมเลกุลของอากาศในบริเวณที่เป็นส่วนขยายจะมีมากกว่าเดิม ทำให้ความดันของอากาศบริเวณส่วนอัดมีค่าลดลง
2.2 ความถี่ อัตราเร็ว และความยาวคลื่น
2.2.1. ความถี่ของเสียง ใช้บอกระดับเสียง ความถี่สูงจะมีระดับเสียงสูงและแหลม ถ้ามีความถี่ต่ำจะมีระดับเสียงต่ำและทุ้ม
- มนุษย์ทั่วไปได้ยินเสียงในช่วงความถี่ 20 - 20000 เฮิรตซ์
- ความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ เรียกว่า อินฟาโซนิก เช่น การสื่อสารของช้าง
- ความถี่สูงกว่า 20000 เฮริตซ์ เรียกว่า อัลตราโซนิค เช่น การหาอาหารของค้างคาว โลมา วาฬ
2.2.2. อัตราเร็วของเสียง ขึ้นอยู่กับสภาพตัวกลาง เช่น อุณหภูมิ ความหนาแน่น ความยืดหยุ่น เป็นต้น อัตราเร็วเสียงที่เคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีอุณหภูมิสู.จะมีค่ามากกว่าตัวกลางที่มีอุณภูมิต่ำ
2.2.3. อัตราเร็วเสียงในอากาศ จะแปรผันตรงกับรากที่สองของอุณภูมิในหน่วยเคลวิน
- อุณหภูมิมาก อัตราเร็วมาก
- อุณภูมิน้อย อัตราเร็วน้อย
- ขณะอุณภูมิ + องศาเซลเซียส อัตราเร็วเสียงจะมีค่าประมาณ 331 เมตร/วินาที


2.4.1.
บีตส์ จะเกิดเมื่อเสียง 2 ชุด
ที่มีความถี่ต่างกันเล็กน้อย
จากแหล่งกำเนิดเสียงประเภทเดียวกันหรือคนละประเภทก็ได้
เคลื่อนที่มาแทรกสอดกันจะเป็นเสียงดังเสียงค่อยสลับกันเป็นจังหวะคงตัว
สมมุติให้ f1 และ f2 แทนความถี่ของเสียงจากแหล่งกำเนิดสองเสียงที่มีความถี่ต่างกันไม่เกิด 7
เฮิรตซ์ เมื่อมาซ้อมทับกันแล้วจะทำให้เกิดบีตส์
2.4.2.
ความเข้มเสียง คือ
กำลังเสียงที่แหล่งกำเนิดเสียงส่งออกไปต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ของหน้าคลื่นวงกลม

เมื่อ I แทน ความเข้มเสียง ตำแหน่งต่างๆ
มีหน่วยเป็นวัตต์ต่อตารางเมตร
P แทน กำลังเสียงของแหล่งกำเนิดเสียง
มีหน่วยเป็นวัตต์
A แทน พื้นที่ของหน้าคลื่นทรงกลม
มีหน่อยเป็นตารางเมตร
R แทน
ระยะจากแหล่งกำเนิดเสียถึงตำแหน่งที่ต้องการหาความเข้มเสียง มีหน่วยเป็น
เมตร
สิ่งที่ควรรู้
1. เสียงค่อยที่สุดที่มนุษย์สามารถได้ยินมีความเข้มเสียง 10
กำลัง -12 วัตต์ต่อตารางเมตร
2. เสียงดังที่สุดที่มนุษย์ปกติสามารถทนฟังได้
โดยไม่เป็นอันตราย มีความเข้มเสียงเป็น 1 วัตต์ต่อตาราง
2.4.3.
ระดับความเข้มเสียง คือ ปริมาณที่ใช้บอกความดังเสียง
โดยเทียวความเข้มเสียงที่ต้องการวัด กับความเข้มเสียงที่ค่อยที่สุดที่คนปกติได้ยิน

โดย
คือความเข้มของเสียง
มีหน่วยเป็นเดซิเบล

I คือความเข้มของเสียง
I0 คือความเข้มของเสียงต่ำสุดที่มนุษย์จะได้ยิน คือ 10-12 วัตต์/ตารางเมตร
2.4.4.
ปรากฎการณ์ดอปเพลอร์ และคลื่นกระแทก
ปรากฎการณ์ดอปเพลอร์ของเสียง คือ
ผู้ฟังได้ยินเสียงที่มีความถี่เปลี่ยนไปจากความถี่ของแหล่งกำเนิดเสียง
คลื่นกระแทก คือ
หน้าคลื่นที่เคลื่อนที่มาเสริมกันในลักษณะที่เป็นคลื่นวงกลมซ้อนเรียงกันไป
แหล่งกำเนิดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าความเร็วของคลื่นในตัวกลาง

a. อัตราเร็วแหล่งกำเนิด น้อยกว่า อัตราเร็วของเสียง
b. อัตราเร็วแหล่งกำเนิด เท่ากับ อัตราเร็วเสียง
c. อัตราเร็วแหล่งกำเนิด มากกว่า อัตราเร็วเสียง
2.4.5.
คุณภาพเสียงและเสียงดนตรี แหล่งกำเนิดเสียงต่างๆขณะสั่น
จะให้เสียงซึ่งมี่ความถี่มูลฐานและฮาร์มอนิกต่างๆ ออกมาพร้อมกันเสมอ
แต่จำนวนฮาร์มอนิกและความเข้มเสียงจะแตกต่างกันไป จึงจะทำให้ลักษณะของคลื่นเสียงแตกต่างกันสำหรับแต่ละแหล่งกำเนิดที่ต่างกัน
โดยจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกัน

ความรู้เพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น